บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความรับผิดชอบต่อการเรียน[2]

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ในการทำวิจัยเรื่อง ผลของการการปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายที่มีต่อความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโคราชพิทยาคมนั้น  ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือของการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research methodology) ซึ่งนำมาจากทฤษฎีฐานราก (Grounded theory) จำนวน 3 ประเภทคือ การสังเกตและจดบันทึก  การสัมภาษณ์เชิงลึก และ การรายงานตนเองของนักเรียนเข้ามาร่วมศึกษาด้วย

ในส่วนนี้ จึงจะเสนอตัวอย่างการรายงานตัวเองของนักเรียนกลุ่มทดลองาจากงานวิจัยชิ้นดังกล่าว  ในการเปิดเรียนปีการศึกษา 2522 ที่จะถึงนี้  นักเรียนกลุ่มนี้จะศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนโคราชพิทยาคม  นครราชสีมา

นางสาวศิริขวัญ  แจ่มไพศาล
(นักเรียนกลุ่มทดลองผู้นี้เป็นนักเรียนผู้พิการทางสายตา ซึ่งเรียนรวมกันนักเรียนปกติ)

เมื่อได้ทำการฝึกสมาธิในครั้งแรกและได้เรียนรู้ถึงผลดีของการทำสมาธิผู้เขียนก็ตั้งใจว่า จะฝึกสมาธิเพื่อจะได้มีจิตใจที่สงบและจะได้รับผลบุญจากการฝึกนี้ด้วย  แม้ในครั้งแรกจะไม่เห็นกายธรรมก็ตาม  แต่สิ่งที่ได้รับจากการนั่งสมาธิก็คือ ความสงบในจิตใจ

สำหรับการนั่งสมาธิแบบนี้ จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เนื่องจากต้องกำหนดให้ดวงแก้วเคลื่อนไปตามฐานต่างๆ ภายในร่างกายจึงก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ  และคลื่นไส้ในครั้งแรกๆ   ต่อมาหลังจากได้ทำการนั่งสมาธิบ่อยเข้า ก็ไม่ได้รับผลข้างเคียงนี้อีก

เมื่อได้ฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ ก็เริ่มกำหนดดวงแก้วและการเคลื่อนของดวงแก้วได้ดีขึ้น  ตลอดจนสามารถเห็นกายธรรมได้ชัดขึ้น  และสามารถพูดคุยเพื่อขอสิ่งต่างๆ กับกายธรรมที่เห็นได้  ซึ่งหากเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผู้ฝึกสมาธิก็จะได้รับพรตามที่ขอเช่นเดียวกับตัวของผู้เขียนเอง

ในปัจจุบันผู้เขียนสามารถมองเห็นกายธรรมได้ทั้งสิ้น  4  กายธรรม  และยังสามารถบอกถึงปัญหาของตนกับพระที่เห็น และได้รับการชี้ให้เห็นทางออกที่ดีของปัญหาต่างๆ อีกด้วย

แม้ตัวของผู้เขียนจะทำการฝึกสมาธิมาเพียงไม่กี่เดือน แต่ผลที่ได้รับคือทำให้มีความสงบเยือกเย็น  ทำให้มีความอดทนและทำให้ไม่คิดร้ายกับผู้อื่น  ตลอดจนไม่รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวขาดที่พึ่งอีกต่อไป

ผู้เขียนตั้งใจว่าจะทำการฝึกสมาธิเช่นนี้ไปตลอดชีวิต  เพื่อจะได้เป็นการสร้างบุญให้กับตนเอง  และเพื่อจะได้ขอพรดีๆ ให้แก่ผู้อื่นที่อยู่รอบข้างด้วย  เพราะผู้เขียนเชื่อว่าการมีจิตใจที่ดีย่อมนำความสงบสุขมาให้กับทุกๆคน  เช่นเดียวกับผลที่ผู้เขียนได้รับจากการทำความดีโดยการฝึกสมาธินี่เอง

นางสาวอมรรัตน์  คำหนู
วันแรกที่ทำ ยังไม่เห็นอะไร นึกแต่ดวงใสได้ และทำตามขั้นตอนได้ ต่อมา เริ่มทำตามได้ และเห็นดวงใสเคลื่อนที่ตามที่เรานึก

จากนั้นวันที่สองที่ลองทำ นึกเห็นดวงใส เคลื่อนที่ตามที่เรานึก และเห็นดวงใสในท้อง แต่ยังไม่เห็นพระ

วันที่สาม ก็ยังเห็นแต่ดวงใสเหมือนวันแรก แต่การนั่งและปฏิบัติอย่างนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีความสงบ และมีสติ และยังทำให้ความจำของข้าพเจ้าดีขึ้น เรียนรู้เรื่อง จำได้แม่นยำ

นางสาวกฤษฏาพร สืบสังข์

เริ่มครั้งแรกที่ปฏิบัติมีความรู้สึกเบื่อ ที่ต้องนั่งนิ่งๆ และมองไม่เห็นอะไรเลย  พอครั้งที่ 2 ก็เริ่มมีสมาธิบ้าง แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร แม้แต่ดวงใส ครั้งต่อมา เห็นดวงใส แต่ปฏิบัติไม่ถึงขึ้นตอนสุดท้าย สมาธิขาดไป

ครั้งต่อมา ทำถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่มองไม่เห็นพระอยู่ในท้องเรา และลองกลับไปทำที่บ้านก็ไม่เห็นพระ แต่พอลองทำติดต่อกันหลายๆ วัน ก็เริ่มจะมองเห็นพระ แต่เห็นไม่ชัดเท่าไหร่

พอมาปฏิบัติที่โรงเรียนครั้งต่อมา เห็นพระชัดเจน แต่ไม่สามารถพูดกับพระได้ และลองปฏิบัติตามอีกหลายวัน ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม คือ ไม่สามารถพูดกับพระได้ จนถึงทุกวันนี้

นางสาวปรียา  เจิมขุนทด
ช่วงแรกก็ตั้งใจทำ เพราะว่า อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะเห็นพระจริงๆ หรือปล่าว เลยตั้งใจมากที่อยากจะมองเห็น แต่ทำเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น แต่วิทยากรบอกว่า ให้ทำใจให้สงบนิ่ง แล้วก็เห็นเหมือนลูกแก้ว ลอยเข้าตา และลอยเข้าลำคอ หอไปถึงสุดท้ายก็ไม่เห็นเหมือนเดิม

พอได้ทำทุกวัน ๆ ก็รู้ว่าตัวเองสบายใจขึ้น และสงบขึ้น ถึงจะมองไม่เห็นพระ แต่ได้อะไรหลายๆ อย่าง จากการทำสมาธิครั้งนี้ แต่พอมาวันสุดท้าย ดิฉันเห็นพระอยู่ในท้องจริงๆ แต่ท่านไม่พูดอะไร ดิฉันถามอะไรท่านก็ไม่ตอบ  หรือว่าใจฉันยังไม่สงบพอ

นางสาวภาริณี แสงแก้วเก้า
ครั้งแรกที่วิทยากรมาบรรยาย และให้ลองนั่งสมาธิ ก็ไม่อยากนั่ง เพราะ มันน่าเบื่อ ไมรู้จะให้ทำไปทำไม เห็นวิทยากรบอกว่า นั่งนานๆ แล้วทำตามขั้นตอนที่บอกก็จะมองเห็นพระในท้องของตนเอง แต่ดิฉันก็ไม่อยากทำ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ก็ไม่อยากทำ ไม่ยอมปฏิบัติตาม แถมยังนั่งเล่น นั่งคุยกันด้วยซ้ำ

ครั้งที่สอง ก็เริ่มลองนั่ง ก็ยังนั่งไม่ได้ เพราะปวดขา ไม่มีสมาธิในการนั่ง แต่ก็ลองอดทนดู ก็ไม่ไหวปวดขา และก็ง่วงนอน บางครั้งก็เคลิ้มหลับไปเลย

ครั้งที่สาม ลองนั่งดูอีกที ก็เริ่มพอที่จะนั่งได้ แต่ไม่นานเท่าไหร่ ก็ต้องเสียสมาธิเพราะยังปวดขาอยู่ดี แต่ก็พยายามจะนั่งให้ได้

ครั้งที่สี่ เริ่มนั่งสมาธิเข้าที่ เริ่มนั่งได้นานกว่าเดิม พอนั่งได้นานก็เริ่มมีสมาธิ และสนุกกับการนั่งสมาธิ ทำให้ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ สำเร็จไปได้อย่างน่าพอใจ

ครั้งที่ห้า เมื่อวิทยากรให้นั่งสมาธิก็จะรีบนั่งทันที เพราะ การนั่งสมาธิทำให้เรามีสมาธิในการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม แถมนั่งสมาธิครั้งนี้ ยังนั่งได้นานกว่าที่ผ่านๆ ด้วยซ้ำ

นางสาวไพรินทร์  กระจ่างโพธิ์
วันแรกที่วิทยากรมาอธิบายเรื่องการนั่งสมาธิ นั่งฟังประมาณ 1 ชั่วโมง ได้ความรู้มากกมาย เป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน สอนเรื่องบาปบุญ การทำจิตใจให้นิ่ง สงบสติอารมณ์ ทำให้ให้สบาย นั่งหลับนึกถึงพระพุทธคุณ นึกถึงแต่เรื่องพระ

เมื่อเริ่มนั่งสมาธิ นั่งไปก็เริ่มเมื่อย ปวดหลัง พยายามทำใจให้สงบนิ่ง พยายามมองให้เห็นพระ เห็นลูกแก้วในท้อง ข้าพเจ้าพยายามจินตนาการตามที่วิทยากรพูด แต่ข้าพเจ้าก็มองไม่เห็น

วันต่อมาก็ทำเหมือนเดิมอีก พอทำทุกวันเราก็เริ่มชิน ทำให้เรามีสติ ไม่วอกแวก เริ่มมอง เห็นดวงใส มองเห็นพระ เราจึงรู้ว่า ขณะนั้นจิตใจเรานิ่งมาก

พอคาบเรียนต่อไป ที่เราไปเรียน จึงเรียนรู้เรื่องขึ้น มีสติฟังอาจารย์พูด พอนั่งเสร็จก็แผ่เมตตาให้กับผู้อื่น และตนเอง

หลังจากนั้นมา พอข้าพเจ้านึกถึงทีไร แล้วลองทำ จิตใจสงบนิ่งมากกว่าเดิม ไม่ง่วงนอน เรียนเก่ง ตั้งใจมากกว่าเดิม

การนั่งสมาธิ ดี ทำให้เราเป็นคนมีสติ คิดก่อนทำ คิดก่อนพูด สบายใจในทุกเรื่อง ที่เราคิดจะทำ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ทำให้นิสัยไม่ก้าวร้าว

นายวิโรจน์  นรินทร์นอก
ขั้นตอนแรก ผมก็เริ่มนั่งทำสมาธิ โดยนึกให้เห็นดวงแก้วที่ปลายจมูกด้านขวา แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะจิตใจยังไม่สงบ ขั้นตอนที่สอง ผมได้ทำจากจมูกขึ้นไปหาตา แล้วผมก็รู้สึกว่า จิตใจเริ่มดีขึ้นกว่าเดิม ขั้นตอนที่สาม ไปที่จอมประสาท หรือตรงกลางของหัว ตอนนี้จิตใจสงบไม่วอกแวก  มีสมาธิในการทำมากยิ่งขึ้น เริ่มควบคุมสมาธิของตนเองได้ หลังจากนั้น ก็ลงมาที่สะดือจิตใจเริ่มสงบนิ่ง มีสมาธิ

หลังจากนั้นก็เข้าถึงฐานที่เจ็ด ผมก็ได้นึกถึงวัด และพระพุทธรูปที่บ้านของผมเอง ตอนแรกก็เห็นอะไร แต่อีกต่อมา เหมือนเห็นท่าน แต่ยังไม่ค่อยชัด หลังจากการทำสมาธิก็รู้สึกดี
สิ่งที่ได้รับจากการทำสมาธิ
1) ช่วยให้เราเป็นคนมีสติมากขึ้น
2) ช่วยทำให้จิตใจสบาย
3) ช่วยทำให้การเรียนดีขึ้น
4) ช่วยให้เราเป็นคนเยือกเย็น
5) ช่วยให้เรานำไปปฏิบัติได้ทุกวัน
6) ช่วยฝึกให้เรามีความอดทนอดกลั้น
7) ช่วยให้เราได้คะแนนในการสอบ
8) คิดทำอะไรก็สำเร็จได้ดี

นายขจรยศ  หิงพุดซา
ครั้งแรกที่วิทยาการมาบรรยายและสอนการนั่งสมาธิแล้วจะทำให้เห็นดวงใสและพระพุทธรูปในท้องเรา ผมก็ปฏิบัติตามที่วิทยากรบอกทุกขั้นตอน  ครั้งแรกๆ ก็ทำตามวิทยากรบอกทีละขั้น แต่ทำตามไม่ทัน เพราะวิทยากรพูดและสอนเร็วมาก

ต่อมาผมก็ได้ฝึกทำสมาธิที่ห้องเรียนโดยมีอาจารย์นำแผ่นซีดีที่บันทึกเสียงของวิทยากรมาเปิดให้ฟัง ทุกคาบที่มีเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผมมีอาการรู้สึกเมื่อย และง่วงนอน แต่เมื่อได้นั่งสมาธิไปทุกๆ วัน ก็ทำให้ไม่ค่อยมีอาการเมื่อยและง่วงนอนเหมือนกับครั้งแรกๆ และเริ่มทำตาม ที่วิทยากรบอกได้ทันมากขึ้นกว่าเดิม  แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นดวงใสและพระพุทธรูปได้ แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เป็นคนใจเย็นขึ้น มีเหตุมีผลมากขึ้น และตั้งใจเรียนกว่าเดิม ทำให้มีสมาธิในการฟังอาจารย์สอนหรือพูดได้ดีมากขึ้น

นายชโลธร  ผ่อตมแดง
ตั้งแต่ที่วิทยากรเข้ามาบรรยายครั้งแรก ก็สงสัยว่า มันเกี่ยวกับการเรียนหรือไม่ แต่พอได้นั่งสมาธิแล้วทำตามที่วิทยากรบอก ก็รู้สึกดีขึ้น เป็นเพราะสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ พอออกจากสมาธิก็รู้สึกดี และยังทำให้จิตใจสงบนิ่งอีกด้วย และพอได้ทำติดต่อกันหลายๆ วัน ก็เริ่มมองเห็นแสง แต่ว่ายังเห็นไม่ค่อยชัด บางทีก็เห็น บางทีก็ไม่เห็น ก็ได้แต่นึกไปตามที่วิทยากรบอก และพอทำไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกชิน และทำให้จิตใจมีสมาธิมากขึ้น ทำให้การเรียนดีขึ้น เป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้..



ความรับผิดชอบต่อการเรียน[1]

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร (Summary executive)
รายงานผลการวิจัยเรื่อง
ผลของการการปฏิบัติธรรมสายวิชาธรรมกายที่มีต่อความรับผิดชอบต่อการเรียน
วิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนโคราชพิทยาคม
โดย
นางสิริวรรณ  ฤทธิสิทธิ์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการ
........................................................

โรงเรียนโคราชพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียน 1,364 คน ครู-อาจารย์ 89 คน เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 ห้องเรียน  จากประสบการณ์การสอนและพิจารณาจากการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโคราชพิทยาคมในแต่ละปีการศึกษา  ผู้วิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่ำ ต้องมีการปรับปรุงทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน  นักเรียนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ขาดความมั่นใจในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ

เมื่อพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ผู้วิจัยจึงเริ่มสังเกตพฤติกรรมการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนอย่างจริงจังและอย่างเป็นหลักวิชากรในทางวิจัย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหามาตั้งแต่ปีการศึกษา 2549

จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน ผู้วิจัยพบว่า นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำนั้น เกิดจากขาดความรับผิดชอบต่อการเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ (2536) ที่ได้ศึกษางานวิจัยของ ฟลาเฮอร์ตี้ และ รุซเซล (Flaherty and Reutzel, 1964 : 409-411) และพบว่า นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง จะมีความรับผิดชอบสูงกว่านักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ  นอกจากนั้นแล้วยังสอดคล้องกับการศึกษาของบุญส่ง  ทันตานนท์ (2535 : 19-21) ที่ได้สำรวจความคิดเห็นของครูแนะแนวในโรงเรียนมัธยมศึกษา ซึ่งผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากที่สุดคือ พฤติกรรมความรับผิดชอบต่อการเรียน  และในการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียน ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการเรียนที่มีความแตกต่างกันมากที่สุดระหว่างนักเรียนเก่งกับนักเรียนอ่อน คือ พฤติกรรมความรับผิดชอบต่อการเรียน

สำหรับการศึกษาความรับผิดชอบต่อการเรียนกับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษนั้น ผลการ ศึกษาของประยุทธ  พันธุ์บัว (2536) พบว่า นักเรียนที่มีระดับความสามารถในการเรียนภาษาอังกฤษ สูงมีความรับผิดชอบในการเรียนภาษาอังกฤษมากกว่านักเรียนที่มีความสามารถในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

การศึกษาเพื่อพัฒนาความรับผิดชอบต่อการเรียนของนักเรียนมีอยู่หลายวิธี เช่น การใช้กิจกรรมการเรียนรู้ เช่นงานวิจัยของจารุวรรณ  ใจอ่อน (2550) เป็นต้น การใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว เช่น งานวิจัยของ บุษบากร  ตัณฑวรรณ (2545) พัชราภรณ์ รักช่วย (2546)  และปราณี  เดชบุญ (2546) เป็นต้น  การให้คำปรึกษา เช่นงานวิจัยของทัศนีย์  ตระกูลศุภชัย (2547) ไอรีส ทิลโฟลท์ (2547)  อัฉนันทน์ ทินกระโทก (2547) และรำเพียร  แช่มชื่น (2549) เป็นต้น  และใช้การปฏิบัติธรรม เช่นงานวิจัยของ ผุสดี  เฉลิมสุข  (2543)  ประพันธ์  ยอดวงษ์ (2545) ประไพ  มีศิลป์ (2545) ชูพรรณ วงศ์วุฑฒิ (2545)  ฐิตนาฎ  เหลืองอ่อน  (2547) และ พิณนภา  หมวกยอด  (2548) เป็นต้น

เมื่อเปรียบเทียบแนวทางในการพัฒนาความรับผิดชอบต่อการเรียนต่างๆ แล้ว ผู้วิจัยเห็นว่า การปฏิบัติธรรมเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการศึกษาครั้งนี้ เนื่องจากมีความประหยัดและสะดวก และใช้เวลาน้อยทำให้ไม่รบกวนการเรียนการสอนตามปกติ

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1) เพื่อเปรียบเทียบความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระหว่าง ก่อนและหลังการปฏิบัติธรรมตามสายวิชชาธรรมกาย
2) เพื่อเปรียบเทียบความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการทดลอง

ความหมายของความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
ความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ หมายถึง พฤติกรรมความรับผิดชอบต่อการเรียนของนักเรียน 3 ด้านคือ

1) ความมีวินัยในตนเอง หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมพฤติกรรม ของตนให้เป็นไปตามที่ตนมุ่งหวังไว้ ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจริญแก่ตน และผู้อื่น ซึ่งมีองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี้
(1) ตั้งใจฟังครูสอน
(2) ทำงานตามที่ครูมอบหมาย
(3) ตรงเวลา
(4) ทำงาน หรือการบ้านด้วยตนเอง
(5) มีสมาธิในการเรียน
2) ความกระตือรือร้นในการเรียน หมายถึง ความสนใจอันเข้มข้นต่องานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง มีความเอาใจใส่ และตั้งใจในการเรียน และทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า ใฝ่หาความรู้ให้กับตนเองอยู่เสมอ ซึ่งมีองค์ประกอบ 6 ประการ ดังนี้
(1) ทำงานโดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
(2) ถามครูเมื่อมีข้อสงสัย
(3) ติดตามบทเรียนเมื่อขาดเรียน
(4) ปรับปรุงแก้ไขความบกพร่องด้านการเรียนของตนอยู่เสมอ
(5) จดบันทึกเนื้อหาที่ครูสอน
(6) เตรียมบทเรียนล่วงหน้า
3) ความขยันหมั่นเพียร หมายถึง ลักษณะการกระทำ ที่แสดงออกถึงความพากเพียรพยายามต่อการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างแน่วแน่ มีความพยายามที่จะทำงานทุกอย่างให้สำเร็จ  ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ ดังนี้
(1) ความพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่ย่อท้อ
(2) ทบทวนบทเรียนประจำ
(3) กำหนดเป้าหมายในการเรียน
(4) ทำงานอย่างต่อเนื่องในแต่ละครั้งได้เป็นเวลานาน

ระเบียบวิธีวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้วิธีวิทยาแบบผสม (Mixed methodology) ทั้งกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research methodology) และกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research methodology) ควบคู่กันไป

ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
ประชากรคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโคราชวิทยาคน  กลุ่มตัวอย่างมี 2 กลุ่มคือ นักเรียนกลุ่มควบคุม จำนวน 81 คน และ นักเรียนกลุ่มทดลอง จำนวน 78 คน รวมเป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 159 คน

วิธีดำเนินการวิจัย
วิธีดำเนินการวิจัย มีกระบวนการ ดังนี้

นักเรียนกลุ่มทดลองจะปฏิบัติธรรมก่อนการเรียนเป็นเวลา 5 นาทีประมาณ 10 สัปดาห์  กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มต้องทำแบบวัดความรับผิดชอบต่อการเรียนก่อนและหลังการทดลอง สำหรับกลุ่มทดลองเมื่อปฏิบัติธรรมครบแล้ว จะต้องทำแบบวัดผลการปฏิบัติธรรมด้วย

ในการปฏิบัติธรรมนั้น จะเชิญวิทยากรมาสอนก่อนการทดลอง ในขณะทดลอง จะให้นักเรียนกลุ่มทดลองฟังเสียงของวิทยากรของแผ่นซีดี (Compact disc) 

สำหรับการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จะใช้เครื่องมือของทฤษฎีฐานราก (Grounded theory) จำนวน 3 ประเภทคือ

1) การสังเกตและจดบันทึก 
2) การสัมภาษณ์เชิงลึก
3) การรายงานตนเองของนักเรียน

การฝึกปฏิบัติธรรมและการฝึกจินตภาพ
การที่นักเรียนกลุ่มทดลองปฏิบัติธรรมจนเห็นดวงปฐมมรรค ซึ่งเป็นดวงกลมใสและเห็นกายธรรมในท้องของนักเรียนนั้น ผู้วิจัยเห็นว่า เป็นการฝึกจินตภาพหรือการฝึกจินตนาการแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันมากในการปรับพฤติกรรม (Behavior modification)

Joseph Cautela นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่เรียกว่า การวางเงื่อนไขภายใน (Covert conditioning) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในวงการการปรับพฤติกรรม เทคนิคการวางเงื่อนไขภายในนี้ใช้การจินตนาการเป็นหลัก

วิธีการดำเนินการการวางเงื่อนไขภายในได้รับการพัฒนาแตกแยกออกเป็นหลายวิธีการ  ดังเช่นวิธีการดังต่อไปนี้

- การเสริมแรงจากภายใน (Covert reinforcement)
- การเสริมแรงทางลบจากภายใน (Covert negative reinforcement)
- การเสนอตัวแบบภายใน (Covert modeling)
- การหยุดยั้งภายใน (Covert extinction)
- การสร้างความรู้สึกภายใน (Covert sensitization)
- การปรับสินไหมภายใน (Covert response cost)
- การควบคุมตนเองแบบไตรภาคี (Self-control triad)
วิธีการที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนั้น เป็นการฝึกจินตภาพเพื่อบำบัดพฤติกรรมทั้งสิ้น และกระบวนการฝึกนั้น สลับซับซ้อนมากกว่าการฝึกปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายเสียอีก

ผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองเป็นเพศหญิง จำนวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 52.56 และเป็นเพศชาย จำนวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 47.44  และนักเรียนกลุ่มควบคุมเพศหญิง จำนวน  47 คน คิดเป็นร้อยละ 58.02 และเป็นเพศชาย จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 41.98

นักเรียนกลุ่มทดลอง มีผลของการปฏิบัติธรรมดังนี้คือ จิตสงบ จำนวน 26 คน    คิดเป็นร้อยละ 33.33  จินตนาการเห็นดวงปฐมมรรค จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 12.82 และจินตนาการเห็นกายธรรม จำนวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 53.85

การที่นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลของการปฏิบัติธรรมต่างกัน เป็นเพราะการกำหนดใจของกลุ่มทดลองแต่ละคน กลุ่มทดลองที่มีความตั้งใจจริง สามารถขจัดเรื่องต่างๆ ให้ออกไปจากใจได้ และสามารถทำตามวิทยากรได้ตลอด และทำใจให้หยุดนิ่งได้อย่างถูกส่วน ก็จะสามารถจินตนาการจนเห็นดวงปฐมมรรคและกายธรรมได้

กลุ่มตัวอย่างที่ความตั้งใจจริง สามารถขจัดเรื่องต่างๆ ให้ออกไปจากใจได้ และสามารถทำตามวิทยากรได้ตลอด แต่ทำใจให้หยุดนิ่งได้อย่างพอประมาณ จะสามารถจินตนาการจนเห็นดวงปฐมมรรคได้ แต่ไม่เห็นกายธรรม

กลุ่มตัวอย่างที่ยังมีความลังเลสงสัย ไม่ตั้งใจจริง ไม่สามารถขจัดเรื่องต่างๆ ให้ออกไปจากใจได้ ทำตามวิทยากรได้ไม่ตลอดเวลา ก็จะทำได้แต่เพียงใจสงบเท่านั้น จินตนาการให้เห็นดวงปฐมมรรคและกายธรรมไม่ได้

สำหรับความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ มีผลการวิจัยดังนี้คือ

1) ก่อนการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย 163.71 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 20.80 คะแนน หลังการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มนี้ มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 172. 88 คะแนน โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 19.37 คะแนน  คะแนนก่อนและหลังการปฏิบัติธรรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปสมมุติฐานที่ตั้งไว้ กล่าวคือ ความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงขึ้นหลังผ่านการทดลองไปแล้ว

*มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

2) ก่อนการปฏิบัติธรรม กลุ่มทดลองเพศชายมีคะแนนเฉลี่ย 159.70 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 19.18 คะแนน หลังการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มนี้ มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 166.97 คะแนน โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 16.77 คะแนน  สำหรับกลุ่มทดลองเพศหญิง  ก่อนการปฏิบัติธรรมมีคะแนนเฉลี่ย 167.32 คะแนน  ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 21.77 คะแนน หลังการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มนี้ มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 178.22 คะแนน โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 20.20 คะแนน




จะเห็นได้ว่า ก่อนการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มทดลองเพศหญิงมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากกว่านักเรียนกลุ่มทดลองเพศชาย หลังจากปฏิบัติธรรมไปแล้ว นักเรียนทั้ง 2 เพศ มีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากขึ้น แต่ความรับผิดชอบต่อการเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองเพศชายที่เพิ่มขึ้น ก็ยังไม่เท่ากับความรับผิดชอบต่อการเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองเพศหญิงตั้งแต่ก่อนการปฏิบัติธรรม

3) ก่อนการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มทดลองที่มีจิตสงบมีคะแนนเฉลี่ย 159.04 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 18.51 คะแนน หลังการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มนี้ มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 169.08 คะแนน โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 17.60  คะแนน

นักเรียนกลุ่มทดลองที่สามารถจินตนาการเห็นดวงปฐมมรรคได้  ก่อนการปฏิบัติธรรมมีคะแนนเฉลี่ย 159.73 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 19.94 คะแนน หลังการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มนี้ มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่ม ขึ้นเป็น 169.09 คะแนน โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 17.81 คะแนน

นักเรียนกลุ่มทดลองที่สามารถจินตนาการเห็นกายธรรมได้  ก่อนการปฏิบัติธรรมมีคะแนนเฉลี่ย 167.52 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 21.97 คะแนน หลังการปฏิบัติธรรม นักเรียนกลุ่มนี้มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่ม ขึ้นเป็น 176.14 คะแนน โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 20.56 คะแนน



จะเห็นได้ว่า ก่อนการปฏิบัติธรรม นักเรียนที่สามารถจินตนาการเห็นกายธรรมได้มีความรับผิดชอบต่อการเรียนภาษาอังกฤษมากกว่านักเรียนกลุ่มอื่น หลังจากปฏิบัติธรรมไปแล้ว ความรับผิดชอบต่อการเรียนสูงขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นอีกเช่นเดียวกัน

สำหรับนักเรียนกลุ่มทดลองที่สามารถจินตนาการเห็นดวงปฐมมรรคได้ กับนักเรียนกลุ่มทดลองที่มีจิตสงบ ก่อนการปฏิบัติธรรม มีคะแนนของความรับผิดชอบต่อการเรียนใกล้เคียงกัน คือ 159.73 คะแนนและ 159. 04 คะแนนตามลำดับ  หลังจากปฏิบัติธรรมไปแล้ว ความรับผิดชอบต่อการเรียนของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม สูงขึ้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกันเช่นเดิม คือ  169.08 และ 069.09 คะแนนตามลำดับ 

4) นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย 172.88 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 19.37 คะแนน  นักเรียนกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ย 166.71 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 21.12 คะแนน  ค่าคะแนนของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ กล่าวคือ ความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมหลังจากผ่านการทดลองไปแล้ว


โดยสรุป  การปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายสามารถพัฒนาความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ โดยที่นักเรียนไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรตนเอง จึงมีความรับผิดชอบต่อการเรียนที่ดีขึ้น นักเรียนกลุ่มทดลองเห็นว่า การปฏิบัติธรรมแบบสายวิชชาธรรมกายมีประโยชน์และเห็นด้วยกับการปฏิบัติธรรมทุกคน ถึงแม้ว่า จะมีนักเรียนกลุ่มทดลองจำนวนหนึ่ง ไม่ยินดีในการปฏิบัติธรรมในระยะแรกๆ เนื่องจากไม่เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมจะส่งผลดีและมาเกี่ยวข้องกับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษได้อย่างไร

อภิปรายผล
จากผลของการวิจัยในหัวข้อที่ผ่านมา ผู้วิจัยเห็นว่า มีประเด็นที่ควรนำมาอภิปรายผล ดังนี้

1. การใช้การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายเป็นเครื่องมือในการวิจัยสามารถจัดกลุ่มของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังจากผ่านการทดลองไปแล้วได้ดี

ในหัวข้องานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีงานวิจัยที่ใช้การปฏิบัติธรรมเข้าพัฒนาพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวกับการเรียน ซึ่งก็คือ  การศึกษาเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อการเรียนนั่นเอง ดังนี้ อุดม  ทิพย์พงศ์ธร (2539)ผุสดี  เฉลิมสุข (2543)ประพันธ์  ยอดวงษ์ (2545), ประไพ มีศิลป์ (2545)ชูพรรณ  วงศ์วุฑฒิ (2545)ฐิตนาฎ  เหลืองอ่อน (2547)  และพิณนภา  หมวกยอด (2548) งานทุกชิ้นทุกกล่าวมีลักษณะมีเหมือนกันคือ ไม่สามารถแบ่งหรือจัดกลุ่มได้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ผ่านการทดลองไปแล้วได้ผลของปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไร แตกต่างกันหรือไม่ ประการใด กล่าวคือ ไม่สามารถนำผลของการปฏิบัติธรรมมาเป็นตัวแปรในการศึกษาได้

ในการศึกษาครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า นักเรียนกลุ่มทดลองสามารถแบ่งตามผลการปฏิบัติธรรมออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีจิตสงบแต่เพียงอย่างเดียว  กลุ่มที่สามารถจินตนาการเห็นดวงธรรมหรือดวงปฐมมรรคได้  และกลุ่มที่สามารถสามารถจินตนาการเห็นกายธรรมได้  นักเรียนกลุ่มทดลองทั้ง 3 กลุ่มนั้น มีความรับผิดชอบต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน 

นักเรียนกลุ่มทดลองที่สามารถจินตนาการเห็นกายธรรมได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจินตนาการที่มีประสิทธิภาพดีกว่านักเรียนกลุ่มทดลองอีก 2 กลุ่ม จึงสามารถพัฒนาความรับผิดชอบต่อการเรียนได้มากกว่า อนึ่ง ความรับผิดชอบต่อการเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองที่สามารถจินตนาการเห็นกายธรรมได้นั้นสูงกว่านักเรียนกลุ่มทดลองอีก 2 กลุ่มตั้งแต่ก่อนการทดลองแล้ว กล่าวคือ คะแนนก่อนการทดลอง (pre-test) ของนักเรียนกลุ่มนี้ เท่ากับ 167.52 คะแนน  แต่กลุ่มทดลองที่เห็นกาย จิตสงบมีคะแนนก่อนการทดลอง (pre-test) เท่ากับ 159.73 และ 159.04 คะแนน ตามลำดับ

เมื่อผ่านการทดลองไปแล้ว นักเรียนกลุ่มทดลองที่สามารถจินตนาการเห็นกายธรรมได้มีคะแนนหลังการทดลอง (post-test) เท่ากับ 172.88 คะแนน  แต่กลุ่มทดลองที่เห็นกาย จิตสงบมีคะแนนก่อนการทดลอง (pre-test) เท่ากับ 169.09 และ 169.04 คะแนน ตามลำดับ

จะเห็นได้ว่า การใช้การปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายเป็นเครื่องมือในการศึกษานั้น สามารถแยกแยะผลการศึกษาได้ละเอียดและลึกซึ้งกว่าการปฏิบัติธรรมแบบอื่นๆ  การศึกษาที่สามารถลงไปในรายละเอียดและลึกซึ้งนั้น ก็สามารถพัฒนาองค์ความรู้ในการศึกษาได้ดีกว่าเป็นธรรมดา

2) การใช้การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายเป็นเครื่องมือในการวิจัยสามารถศึกษารายละเอียดลงลึกไปในตัวแปรเพศได้ดี

ดังได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อที่ผ่านมาว่า การปฏิบัติธรรมแบบอื่นๆ ไม่นิยมที่จะแบ่งกลุ่มของนักเรียนกลุ่มทดลองเมื่อผ่านการทดลองไปแล้ว  แม้กระทั่งการแบ่งตามตัวแปรเพศ ในการ ศึกษาครั้งนี้ได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจ และสอดคล้องกับผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้

ดร. สตีพ  เจนเทิลแมน (Dr. Steve Gentleman) แห่งวิทยาลัยอิมพีเรียล (Imperial College) ประเทศอังกฤษได้รายงานไว้ในรายการของ BBC (2551) ว่า มันสมองของผู้หญิงกับผู้ชายไม่แตกต่างกันมากนักในแง่โครงสร้าง การที่สมองของผู้ชายใหญ่กว่าก็เป็นเพราะว่า ร่างกายของผู้ชายใหญ่กว่า สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ส่วนที่ประมวลภาษา (language processing)

ในรายการดังกล่าวได้สร้างคำขึ้นมาใหม่ เช่น แก๊บ และ เก็ด  ท้อด และท้อป เป็นต้น แล้วนำไปใส่แถบบันทึกเสียงให้เสียงดังพร้อมๆ กัน  ในการฟังเสียงดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างเพศชาย จะได้ยินเพียงเสียงใดเสียงหนึ่งเพียงเสียงเดียว เนื่องจากผู้ชายนิยมใช้สมองด้านขวา  สำหรับกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง สามารถฟังเสียงได้ทั้งสองคำ เนื่องจากผู้หญิงสามารถใช้สมองทั้ง 2 ด้านได้ในการเรียนภาษา ด้วยความสามารถของเพศหญิงดังกล่าว จึงทำให้นักเรียนหญิงมีความสามารถในการเรียนภาษามากกว่านักเรียนชาย

ในการศึกษาครั้งนี้  นักเรียนกลุ่มทดลองหญิง มีคะแนนก่อนการทดลอง (pre-test) เท่ากับ 167.32 คะแนน  โดยที่กลุ่มทดลองเพศชาย มีคะแนนก่อนการทดลอง (pre-test) เท่ากับ 159.70 คะแนน  หลังการทดลอง  นักเรียนกลุ่มทดลองหญิง มีคะแนนหลังการทดลอง (post-test) เพิ่มขึ้นเป็น 178.22 คะแนน  ส่วนนักเรียนกลุ่มทดลองชาย มีคะแนนหลังการทดลอง (post-test) เพิ่มขึ้นเป็น 166.97 คะแนน ซึ่งยังไม่เท่ากับคะแนนก่อนการทดลอง (pre-test) ของกลุ่มทดลองหญิงเสียด้วยซ้ำ

จะเห็นได้ว่า การนำการปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายเข้ามาเป็นเครื่องมือของการวิจัยจะทำให้ได้ผลการศึกษาที่ลึกซึ้งและละเอียดลออมากกว่าการปฏิบัติธรรมแบบอื่น

3) การใช้การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายเป็นเครื่องมือในการวิจัยเป็นการปรับพฤติกรรม (Behavior modification) สะดวกและใช้งานที่ดีกว่า การปรับพฤติกรรม ตามแนวจิตวิทยา

จากข้องานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะเห็นได้ว่า งานวิจัยส่วนใหญ่แล้วจะใช้แนวทางการปรับพฤติกรรมเพื่อพัฒนาความรับผิดชอบต่อการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง  กระบวนการปรับพฤติกรรมนั้น มีข้อจำกัดในหลักการก็คือ บุคคลที่เข้ารับการปรับพฤติกรรมจะต้องเต็มใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เป็นการยากมากที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลโดยไม่ให้บุคคลเหล่านั้น เต็มใจที่จะเปลี่ยนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยิ่งถ้าบุคคลนั้น ไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนด้วย แล้ว วิธีการปรับพฤติกรรมย่อมจะใช้การไม่ได้เลย”  สมโภชน์  เอี่ยมสุภาษิต (2541 : 12)

สำหรับงานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมิได้อธิบายรายละเอียดในขั้นตอนของการวิจัยให้กับกลุ่มตัวอย่าง บอกแต่เพียงว่า มีการวิจัยเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อการเรียน โดยจะมีการทำสมาธิก่อนเรียนประมาณ 5 นาทีเท่านั้น  จะเห็นว่า นักเรียนกลุ่มทดลองก็ไม่รู้ลงไปในรายละเอียดว่า ผู้วิจัยจะศึกษาในประเด็นใดบ้าง  นักเรียนกลุ่มทดลองอาจจะรู้บ้าง จากการทำแบบวัดความรับผิดชอบต่อการเรียนก่อนการทดลอง

เมื่อผลการทดลองผ่านไปแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ผลการศึกษาจากการใช้การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายก็สามารถปรับพฤติกรรมความรับผิดชอบต่อการเรียนได้เช่นเดียวกันการปรับพฤติกรรมตามแนวทางของจิตวิทยา

สิ่งที่ดีกว่าก็คือ พฤติกรรมความรับผิดชอบต่อการเรียนในการศึกษาครั้งนี้มีการแพร่ขยายและคงทนมากกว่าการปรับพฤติกรรมของแนวจิตวิทยา

ในการปรับพฤติกรรมตามแนวจิตวิทยาด้วยกันเองนั้น จอห์นสัน (Johnson, 1970 : 147-148) เห็นว่า การปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา โดยวิธีการควบคุมตนเอง (Self-control) จะทำให้พฤติกรรมที่พึงปรารถนามีความคงทนในระยะเวลาที่ไม่ให้แรงเสริม (extinction) มากกว่าการควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก นอกจากนี้ ผลพลอยได้จากการควบคุมตนเองนั้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและบุคลากรมากกว่าการควบคุมจากภายนอก (Glynn, Thomas and Shee, 1973 : 113) ทำให้ครูลดภาระในการปกครองชั้นเรียน ประหยัดเวลา ไม่รบกวนการเรียนการสอน (O’Leary and Duby, 1979; Sagotsky, Patterson and Lopper, 1978 : 2542-253)  เช่นเดียวกับคำกล่าวของวิลสัน และโอแลรี (Wilson and O, Leary, 1980 : 217) ที่กล่าวว่า การควบคุมจากภายนอกไม่สามารถทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้เท่ากับการควบคุมตนเอง

จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายให้ประสิทธิภาพดีกว่าการควบคุมตนเอง (Self-control) เสียอีก เพราะ กลุ่มตัวอย่างไม่ตั้งเป้าหมายอย่างเช่นการควบคุมตนเอง ไม่ต้องมีการสังเกตการณ์ตัวเอง จะเห็นนักเรียนกลุ่มทดลองมีความรับผิดชอบต่อการเรียนที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะวิชาภาษาอังกฤษแต่เพียงวิชาเดียว แต่ได้แพร่ขขยายไปยังวิชาอื่นๆ ด้วย  โดยที่นักเรียนกลุ่มทดลองเองก็ไม่เข้าใจเป็นเพราะเหตุใด  ซึ่งก็สอดคล้องกับประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมตามสายวิชชาธรรมกายตามที่ การุณย์ บุญมานุช (2541 : 42-45) กล่าวไว้เป็นหัวข้อแรกว่า  การเห็นการเห็นดวงปฐมมรรคมีใจเป็นหิริโอตตัปปะ โดยที่ไม่ทราบว่าหิริโอตตัปปะ คืออะไร

คำว่า หิริโอตตัปปะในที่นี้ หมายถึง นักเรียนเกรงกลัวและละอายพฤติกรรมที่ไม่ดีทุกประการ จึงส่งผลให้นักเรียนกลุ่มทดลองมีความรับผิดชอบต่อการเรียนที่ดีขึ้น

4) การใช้การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายเป็นเครื่องมือในการวิจัยให้ความสะดวกกว่าการฝึกจินตภาพ

จากหัวข้องานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะเห็นว่า นักเรียนกลุ่มทดลองของการวิจัยที่ใช้การฝึกจินตภาพเป็นเครื่องมือ ก็สามารถมีจินตนาการเห็นภาพได้เป็นส่วนใหญ่  ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนกลุ่มทดลองก็สามารถจินตนาการเห็นภาพได้เป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน สาเหตุก็เป็นเพราะว่า เด็กสามารถสร้างจินตภาพได้ เนื่องจากจินตภาพเป็นสิ่งที่ฝึกหัดได้ ความสามารถนี้อยู่ในตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด หากเราไม่ใช้ความสามารถนี้จะค่อยๆ หายไป และทำให้สูญเสียพรสวรรค์ด้านนี้ของเราไป(Bagley and Hess, 1984)
สิ่งที่การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายให้ความสะดวกกว่าก็คือ ขั้นตอนในการปฏิบัติง่ายกว่าการฝึกจินตภาพ  ผู้วิจัยขอยกตัวอย่างการฝึกจินตภาพของวรรณภา  พงษ์ดี (2545 : 58-59) อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ 

การสร้างจินตภาพมี 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1
ให้นักเรียนนั่งในท่าสบายที่สุด วางแขน ขา อย่างสบายๆ ให้หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ (10 วินาที) ค่อยๆ หลับตา  หายใจเข้าลึกๆ แต่ไม่ต้องเกร็ง ทีนี้ให้ความรู้สึกอยู่ที่เท้า รู้สึกว่าเท้ามีความอบอุ่นสบายและหนัก รู้สึกว่าสบายที่เท้า และแผ่ซ่านความอบอุ่นความสบาย รู้สึกว่าร่างกายสบาย  สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมาช้าๆ รู้สึกสบายที่ท้อง หน้าอก หลัง ไหล่ แขนทั้งสองข้าง ตอนนี้นักเรียนรู้สึกร่างกายสบาย ผ่อนคลาย ให้อยู่กับความรู้สึกนี้สักครู่หนึ่ง (15 วินาที) ลืมตาได้แล้ว

ขั้นที่ 2
ต่อไปนี้ให้นักเรียนค่อยๆ หลับตา  แล้วนึกภาพว่า นักเรียนกำลังหาสถานที่เพื่อทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์  ตอนนี้นักเรียนได้สถานที่ที่นักเรียนชื่นชอบแล้ว (ถาม) นักเรียนลงมือทำการบ้านคณิตศาสตร์อย่างมีความสุข

ขั้นที่ 3
นักเรียนมองเห็นภาพตัวเองนั่งทำการบ้านคณิตศาสตร์อย่างชัดเจน และภาพนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ นักเรียนมองเห็นตัวอย่างอย่างชัดเจน

ขั้นที่ 4
แล้วตอนนี้นักเรียนนึกภาพว่า นักเรียนนำการบ้านไปส่งที่โต๊ะคุณครู คุณครูยิ้มให้นักเรียน นักเรียนมีความสุขที่ได้ส่งการบ้าน นักเรียนเดินออกจากห้องเรียนอย่างมีความสุข ขอให้อยู่กับเหตุการณ์นี้สักครู่หนึ่ง

ขั้นที่ 5
ต่อไปให้นักเรียนนึกภาพว่า ตัวเองนั่งทำการบ้านจนเสร็จเรียบร้อยอีก 1 ครั้ง และนำไปส่งคุณครูจนกระทั่งเมื่อนักเรียนส่งการบ้านเสร็จ นักเรียนก็ให้รางวัลกับตัวเอง 1 อย่าง  รางวัลนั้น เป็นสิ่งที่นักเรียนอยากได้มานานแล้ว  (ถาม)  ขอให้นักเรียนอยู่กับความพอใจนี้สักครู่หนึ่ง

เอาละคราวนี้ ขอให้นักเรียนผ่อนคลายรู้สึกสบายที่แขน ขา ไหล่ คอ นักเรียนรู้สึกปลอดโปร่ง และอบอุ่นใจ และตั้งใจอย่างแนวแน่ว่า กลับไปถึงบ้านจะทำการบ้านจริงๆ

จะเห็นว่า ขั้นตอนของการฝึกจินตภาพมีรายละเอียดมาก ส่วนขั้นตอนการฝึกของวิชชาธรรมกายจะทำเพียงจินตนาการให้เห็นดวงธรรมและกายธรรมเท่านั้น



ไม่ตั้งใจเรียน ป.1 (ต่อ)

นักเรียนคนที่ 9
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับกับบิดามารดาและตา นักเรียนมีพี่ชาย 1 คน บิดามารดามีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไปฐานะขาดแคลน

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีสมาธิในการฟังครูสั้นมาก ในขณะที่เรียนมักชวนเพื่อนคุย บางครั้งก็แอบเอาของเล่นขึ้นมาเล่น ชอบลืมหนังสือเรียนบางครั้งก็ชอบลุกจากเก้าอี้เดินไปมาขณะที่ครูมอบหมายงานให้ทำ และเล่นกับเพื่อน บางครั้งชอบลอกงานเพื่อน ไม่ส่งงานตามเวลาที่กำหนด ครูต้องคอยตักเตือนเสมอ

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของเขาเปลี่ยนไปมาก มีสมาธิในการฟังมากขึ้น ไม่คุยกับเพื่อน ไม่นำของเล่นขึ้นมาเล่นและไม่ลืมอุปกรณ์การเรียนมา การลุกจากเก้าอี้น้อยลง ส่งงานตามกำหนดเวลาแต่อย่างไรก็ดียังต้องมีการตักเตือนบ้างเป็นบางครั้ง

นักเรียนคนที่ 10
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับมารดา บิดาเลิกกับมารดา บิดาไปบวชเป็นพระ ที่บ้านนักเรียนอยู่กับ ปู่ ย่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและหาปลาขาย มีฐานะค่อนข้างยากจน

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่านักเรียนมักจะคุยกับเพื่อนตลอดเวลา รบกวนสมาธิในการเรียนของเพื่อนและรบกวนการสอนของครู และชอบลืมหนังสือบ้าง สมุดบ้าง นำอุปกรณ์การเรียนมาไม่ครบ ลุกจากที่นั่งของตนเอง เดินไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ ในห้องเรียน เมื่อครูมอบหมายงานให้ปฏิบัติ ก็ส่งงานไม่ทันเวลาที่กำหนด ครูต้องคอยตักเตือนเรื่องการส่งงานเสมอ

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่าพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด การคุยกับเพื่อนลดลง มีคุยบ้างเล็กน้อย ในขณะที่ครูสอนและให้ทำแบบฝึกหัด ลุกจากเก้าอี้ของตนเองเพื่อเดินไปมาน้อยลง เมื่อครูมอบหมายงานให้ปฏิบัติก็สามารถนำส่งทันตามเวลาที่กำหนด แต่อย่างไรก็ดียังต้องให้ครูคอยตักเตือนบ้างเล็กน้อย

นักเรียนคนที่ 11
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน

นักเรียนอาศัยอยู่กับมารดาและตา บิดาเลิกกับมารดา และตามีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีฐานะยากจน

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีสมาธิในการเรียนสั้นมากคือนักเรียนจะตั้งใจฟังครูสอนประมาณ 5-10 นาที แล้วหลังจากนั้นนักเรียนจะคุยกับเพื่อนบ้าง นำของเล่นขึ้นมาเล่นบ้าง ลุกจากเก้าอี้เดินไปเล่นกับเพื่อนบ้างทั้งเวลาที่เรียนและเวลาที่ครูให้ทำแบบฝึกหัด บางครั้งนำงานอื่นขึ้น มาทำ เมื่อครูมอบหมายงานให้ปฏิบัติจึงไม่สามารถส่งงานได้ตรงเวลาที่ครูกำหนด และนอกจากนั้น ยังมีพฤติกรรมลอกงานเพื่อน ทำให้ครูต้องคอยตักเตือนเสมอ

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่าพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนผู้นี้ทดลองอย่างเห็นได้ชัด คือมีสมาธิในการฟังครูสอนนานขึ้นประมาณ 1030 นาที มีการพูดคุยกับเพื่อนน้อย ไม่นำของเล่นขึ้นมาเล่น ไม่ส่งเสียงดัง ในขณะที่ครูทำการสอนและในขณะที่ครูมอบหมายงานให้ปฏิบัติ แต่ก็ยังลุกจากเก้าอี้เดินไปหาเพื่อนบ้าง เพื่อไปลอกงานเพื่อน ซึ่งครูจะคอยตักเตือนให้เขาทำเอง

นักเรียนคนที่ 12
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับมารดา ซึ่งมารดาแต่งงานใหม่ บิดามารดามีอาชีพทำนาน ฐานะปานกลาง

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชอบอยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิในการฟังครูสอน ชอบคุยกับเพื่อนในเวลาที่ครูมอบหมายงานให้ทำ และชอบลืมหนังสือเรียนมาและชอบลืมทำการบ้าน และชอบลุกจากเก้าอี้ไปมา ครูต้องคอยเรียกตักเตือนอยู่เสมอ จึงทำให้นักเรียนไม่สามารถส่งงานได้ทันตามเวลาที่กำหนด

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ให้นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเรียนทุกครั้ง นักเรียนจะมีสมาธิในการฟังครูนานขึ้น และจะอยู่นิ่ง การคุยกับเพื่อนก็น้อยลง ไม่ลืมอุปกรณ์ การเรียน ทำการบ้านมาและลุกจากเก้าอี้เดินไปมาบ้างเป็นบางครั้ง จึงทำให้นักเรียนส่งงานทันตามเวลาที่กำหนด  แต่อย่างไรก็ดี ครูก็ยังต้องคอยตักเตือนบ้าง

นักเรียนคนที่ 13
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับคนเลี้ยง บิดามารดานำมาจ้างเลี้ยงตั้งแต่แรกเกิด ระยะแรกก็ส่งค่าจ้างเลี้ยงดูมาให้ หลังจากอายุได้ 2 ปี ก็ไม่มาดูแล บิดามารดา แยกทางกันไปแต่งงานใหม่ นักเรียนอยู่กับคนเลี้ยง

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนมาก นักเรียนชอบลืมอุปกรณ์ การเรียน เช่น หนังสือ ยางลบ ไม้บรรทัด เป็นต้น นักเรียนชอบแอบนำของเล่นขึ้นมาเล่น และแอบคุยกับเพื่อน ขณะที่ครูสอนและชอบลุกจากเก้าอี้เดินไปมาขณะที่มอบหมายงานให้ทำ ชอบให้เพื่อนทำงานให้ ส่งงานไม่ทันตามกำหนด ครูต้องคอยตักเตือนตลอดเวลา

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่านักเรียนมีพฤติกรรมตั้งใจเรียนภาษาไทยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือนำอุปกรณ์การเรียนมาครบ แต่ยังไม่ครบเป็นบางวัน ไม่นำของเล่นมาโรงเรียน การคุยกับเพื่อนน้อยลง ไม่ลุกเดินจากเก้าอี้ไม่เดินไปมาขณะที่ครูสอนและครูมอบหมายงาน ทำงานด้วยตนเอง และส่งงานทันตามกำหนดเวลา แต่อย่างไรก็ดี ครูยังต้องคอยตักเตือนบ้าง

นักเรียนคนที่ 14
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับตา ยาย บิดามารดาไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพ  ตายายมีอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป มีฐานะค่อนข้างขัดสน นานๆ บิดามารดาจึงจะมาหา

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนวิชาภาษาไทย ชอบลืมหนังสืออ่านบ้าง ลืมหนังสือแบบฝึกหัดบ้าง เวลาเรียนชอบนำไม้บรรทัดหรือดินสอมาเล่นคนเดียวในขณะที่ครูสอน ครูต้องตักเตือนนักเรียนเป็นประจำ ชอบลอกงานเพื่อนในขณะที่ครูมอบหมายงานให้ทำ และชอบคุยกับเพื่อน ชอบลุกจากที่นั่งของตนเดินไปชวนเพื่อนคุย เป็นต้น นักเรียนจะทำงานส่งไม่ทันเวลา

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนดีขึ้น สนใจฟังครูและไม่ลืมอุปกรณ์เรียน ไม่นำของเล่นขึ้นมาเล่น คุยกับเพื่อนน้อยลงในขณะที่ครูทำการสอนไม่ลุกเดินไปมา และทำงานส่งทันเวลาบ้าง แต่อย่างไรก็ดีครูยังต้องคอยตักเตือนบ้าง

นักเรียนคนที่ 15
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับปู่ ย่า มีอาชีพทำนาและทำปลาร้าขาย บิดามารดาไปทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ นาน ๆ จึงจะกลับมาหานักเรียน

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนเป็นเด็กมีสมาธิในการฟังสั้นมาก จะอยู่นิ่งประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นนักเรียนจะพูดคุยกับเพื่อน ถ้าไม่คุยกับเพื่อนก็จะนำของเล่นขึ้นมาเล่น ของเล่นที่นำ มาเล่นก็ไม่ใช่อย่างอื่นแต่เป็นดินสอ ไม้บรรทัด นำมาเล่นเป็นรถไถไปไถมา ลืมอุปกรณ์การเรียนบ่อยมาก เช่น ลืมหนังสือเรียน ลืมยางลบ ลืมดินสอ เป็นต้น  ชอบลุกจากเก้าอี้คลานไปมาใต้โต๊ะ ในขณะที่ครูสอนและในขณะที่ครูมอบหมายงานให้ทำ ก็ไม่ตั้งใจทำงานพูดคุยเสียงดัง ครูต้องคอยเตือนเสมอ ไม่เคยส่งงานทันเวลาที่ครูกำหนด

หลังจากทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีความตั้งใจเรียนมากขึ้นมีสมาธิในการฟังขณะที่ครูสอนนานขึ้น นักเรียนจะคุยกับเพื่อนน้อยลง ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ลืมอุปกรณ์การเรียน แต่ก็ยังลืมบ้างเป็นบางวัน ไม่นำของเล่นขึ้นมาเล่นขณะที่ครูสอน ไม่ลุกจากเก้าอี้คลานไปใต้โต๊ะ ตั้งใจทำงานที่ครูมอบหมายดีขึ้น ส่งงานทันเวลาที่กำหนด แต่อย่างไรก็ดี ครูต้องคอยตักเตือนบ้างเป็นครั้งคราว

นักเรียนคนที่ 16
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับบิดามารดา ซึ่งบิดามีอาชีพค้าขายของเก่า และขายของชำเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้าน นักเรียนมีน้อง 1 คน บิดามารดามีฐานะปานกลาง

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนจะมีสมาธิในการเรียนสั้นจะตั้งใจฟังครูสอนได้ไม่นาน ต่อมานักเรียนจะไม่ตั้งใจเรียน เวลาครูสอนจะคุยกับเพื่อน เล่นกับเพื่อน บางทีก็หยิบกระดาษขึ้นมาวาดภาพหรือค้นอะไรเล่น และชอบลุกจากเก้าอี้เดินไปคุยกับเพื่อน เวลาครูมอบหมายงานให้ทำ จึงส่งผลทำให้บางครั้งเขาจะส่งงานไม่ทันตามกำหนดเวลา ครูต้องคอยเรียกตักเตือนเสมอ

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนจะมีสมาธิในการเรียนดีขึ้นตั้งใจฟังครูสอนได้นานขึ้น นักเรียนจะตั้งใจเรียน แต่ยังคุยกับเพื่อนบ้าง และลุกจากเก้าอี้บ้างนาน ๆ ครั้ง

นักเรียนคนที่ 17
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับตา ยาย มีอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป บิดามารดาไปทำงานที่กรุงเทพฯ

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีความตั้งใจเรียนน้อย ในขณะที่เรียนมักชวนเพื่อนคุยและเล่นกับเพื่อน บางครั้งก็ลุกจากเก้าอี้เดินไปมา โดยไม่ได้รับอนุญาต  ทำงานเสร็จโดยครูต้องคอยตักเตือนเสมอ

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนตั้งใจเรียนดีขึ้น คุยกับเพื่อนน้อยลงเล่นกับเพื่อนน้อยลง ไม่ลุกจากเก้าอี้เดินไปมาในขณะที่ครูให้ทำแบบฝึกหัดและส่งงานได้ทันเวลาที่กำหนด โดยไม่ต้องให้ครูคอยตักเตือน

นักเรียนคนที่ 18
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
นักเรียนอาศัยอยู่กับมารดาและน้อย โดยเช่าบ้านเขาอยู่ บิดาไปรับจ้างขับรถบรรทุกส่งของในกรุงเทพฯ ฐานะของครอบครัวปานกลาง

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนวิชาภาษาไทย นักเรียนมีสมาธิในการเรียนสั้นมาก นักเรียนชอบอยู่ไม่นิ่ง คุยกับเพื่อนตลอดเวลา ทั้งในขณะที่ครูทำการสอนและในขณะที่ครูมอบหมายงานให้ทำ ชอบนำของเล่นขึ้นมาเล่น ขณะที่ครูมอบหมายงานให้ทำ จึงทำให้นักเรียนไม่สามารถส่งงานได้ทันตามเวลาที่กำหนด ซึ่งครูต้องคอยตักเตือนเสมอ

หลังการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนปรับตัวดีขึ้นแสดงว่าหลังจากนักเรียนได้ปฏิบัติธรรม ทำให้นักเรียนมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ทำให้นิ่ง ตั้งใจเรียนดีขึ้น จะมีก็แค่การคุยกับเพื่อนในขณะที่ครูมอบหมาย งานให้ปฏิบัติ และการส่งงานบางครั้งครูต้องคอยตักเตือนบ้าง

นักเรียนคนที่ 19
สถานภาพโดยทั่วไปของนักเรียน
ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน บิดามารดาไปทำงานรับจ้างก่อสร้างที่ต่างจังหวัด นักเรียนอาศัยอยู่กับยาย นักเรียนมีพี่สาว 1 คน

ก่อนการทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชอบเล่นในขณะที่ครูทำการสอนและชอบคุยกับเพื่อนและชอบลืมหนังสือเรียนมา นักเรียนชอบลุกจากเก้าอี้เดินไปเล่นกับเพื่อน ขณะที่ครูให้ทำแบบฝึกหัด จึงทำให้นักเรียนไม่สามารถส่งงานได้ทันตามเวลาที่กำหนด ครูต้องคอยดูแลและตักเตือนเสมอ

หลังจากทดลอง
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนปรับตัวดีขึ้น พฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนลดลงมีสมาธิในการฟังนานขึ้น  ไม่นำของเล่นขึ้นมาเล่น ขณะที่ครูสอนนำอุปกรณ์การเรียนมาครบ  คุยกับเพื่อนน้อยลง ไม่ลุกจากเก้าอี้เดินไปเล่นกับเพื่อน และสามารถส่งงานทันเวลาที่ครูกำหนด